บทความนี้ขยายความจาก เรื่อง "มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นอันดับสองแล้ว จะรับมืออย่างไร" (หากใครยังไม่อ่าน คลิ๊กลิงค์ อ่านได้เลยครับ)
ครั้งนี้จะกล่าวละเอียดถึงวิธี เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่หมอพอจะมีประสบการณ์มากกว่าวิธีอื่นๆนะครับ
ใครที่จะได้ประโยชน์จากการอ่านบทความนี้?
หากคุณมีอายุตั้งแต่สี่สิบปีขึ้นมา หรือมีคนที่รักอายุรุ่นนี้ก็ควรติดตามความรู้นี้นะครับ
อย่างที่ทราบอยู่แล้วว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่จะประมาทได้เลย มันไม่เคยแสดงอาการเตือนตอนมันก่อตัวสักนิด แต่เมื่ออาการเผยตัว มันก็ใหญ่เสียจนกระจายไปบริเวณอื่นแล้ว
คุณลองดูรูปข้างล่างนี่อีกครั้ง
จะเห็นได้ว่า แม้แต่มะเร็งทะลุผนังลำไส้ออกมาและกระจายไปตามท่อน้ำเหลืองแล้ว คนไข้ยังอาจไม่มีอาการใดๆได้เนื่องจากก้อนเนื้อไม่ได้อุดท่อลำไส้จนกากอาหารผ่านไม่ได้ กว่าก้อนเนื้ออุดลำไส้จนเกิดอาการท้องผูก มะเร็งก็กระจายออกไปไกลแล้วเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการผ่าตัดลำไส้ออกครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ครอบคลุมมะเร็งที่กระจายไปไกลแล้วได้ อีกอย่างหนึ่ง มะเร็งลำไส้ใหญ่นี้ ดื้อยาต้านมะเร็งมาก ยังไม่มียาสูตรไหนกำจัดมันได้ผลดี อย่างมากให้ผลครึ่งหนึ่งเท่านั้น
"เราควรตรวจพบตั้งแต่มันมีขนาดเพียง 1 เซนติเมตร" จะดีกว่าไหม?
หากคุณหรือคนที่คุณรัก เริ่มตรวจหาติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบติ่งเนื้อและเมื่อตัดติ่งเนื้อไปตรวจพบเป็นมะเร็งระยะแรก ก็เพียงตัดลำไส้ส่วนนั้นเป็นช่วงสั้นๆ โอกาสหายขาดสูงมาก
จะดีกว่าไหม ถ้าเรารักษาชีวิตอันมีค่าและดำรงคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่กับคนที่รักได้อีกนาน?
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนการตรวจเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่?
- เตรียมลำไส้ (Bowel Preparation)
- ติดฉลากให้กากอาหาร (Fecal tagging)
การเตรียมลำไส้ใหญ่
มีหลายสูตรมาก ขอยกตัวอย่างที่โรงพยาบาลของหมอใช้กันคือ
สองวันก่อนเช้าวันตรวจ
อาหาร อาหารที่กินไม่ได้คือ ส่วนของพืชผัก เมล็ดธัญพืช เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ๆ ไขมันพวกเนยหรืออาหารทอด ผัด
อาหารที่รับประทานได้คืออาการอ่อนไร้กากใย ได้แก่ แป้งหรือข้าวหรือเนื้อในของถั่ว (ไม่มีเปลือกของเมล็ด) ขนมปังขาวล้วน เส้นหมี่จากแป้งขาวล้วน เนื้อสัตว์หรือไข่ที่บดละเอียด เป็นต้น
หนึ่งวันก่อนตรวจ
อาหาร รับประทานแต่อาหารเหลวที่ใส แค่ไหนถึงจะเรียกว่าใส คือถ้าใส่แก้วแล้ววางแก้วบนกระดาษหนังสือพิมพ์เรายังเห็นตัวหนังสือที่ก้นแก้วได้นั่นถือว่ายอมรับได้ แต่ถ้าขุ่นจนอ่านตัวหนังสือไม่เห็นก็ไม่ควรดื่ม
ยาระบาย เจ้าหน้าที่แผนกเอกซเรย์จะให้ยาระบายมารับประทานในวันนี้ด้วยให้รับประทานตามคำแนะนำ
สารติดฉลากให้กากอาหาร เจ้าหน้าที่จะให้ของเหลวซึ่งเป็นส่วนของสารติดฉลากกากอาหาร คือเมื่อดื่มเข้าไปตามคำแนะนำ สารนี้จะไปเคลือบกากอาหารที่ยังติดต้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ช่วยให้แพทย์ที่ดูภาพเอกซเรย์แยกแยะได้ว่านั่นคือกากอาหารที่ติดอยู่ ไม่ใช่เนื้องอกของจริง
เช้าวันตรวจ ให้งดอาหาร อาจจะจิบน้ำแก้กระหายบ้าง แล้วมาโรงพยาบาล
การตรวจ
เจ้าหน้าที่จะสวนท่อยางเล็กๆเข้าทวารหนัก ดังรูป
แล้วใส่ลมเข้าทางท่อนี้เพื่อให้ลำไส้ใหญ่พองตัวเต็มที่ ผู้ตรวจจะรู้สึกตึงท้องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เจ็บแต่อย่างใด จากนั้นจะถอดท่อออกจากทวาร ผู้ตรวจต้องกลั้นลมไว้ให้นานจนกระทั่งการสแกนเสร็จ
ผู้รับการตรวจนอนอยู่บนเตียงเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ดังรูป
ภาพแสดงการสอดท่อยางเข้าทางทวารหนัก ไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด |
ภาพแสดงขนาดท่อยางที่สอดปลายเข้าทางทวาร ขนาดเล็กเท่าหลอดกาแฟเท่านั้นเอง |
แล้วใส่ลมเข้าทางท่อนี้เพื่อให้ลำไส้ใหญ่พองตัวเต็มที่ ผู้ตรวจจะรู้สึกตึงท้องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เจ็บแต่อย่างใด จากนั้นจะถอดท่อออกจากทวาร ผู้ตรวจต้องกลั้นลมไว้ให้นานจนกระทั่งการสแกนเสร็จ
ผู้รับการตรวจนอนอยู่บนเตียงเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ดังรูป
เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ตรวจนอนหงายและสแกนหนึ่งครั้ง แล้วให้นอนคว่ำและสแกนภาพอีกหนึ่งครั้งก็จะเสร็จกลั้นหายใจครั้งละไม่เกิน 20 วินาที
เวลาการตรวจทั้งหมดไม่เกินครึ่งชั่วโมง
จากนั้นเจ้าหน้าที่เทคนิคจะให้ผู้ตรวจรับประทานอาหารตามปกติได้และนัดมารับทราบผลตรวจ
ตัวอย่างภาพจากซอฟแวร์ประมวลผลต่างๆ
ตัวอย่างภาพจากซอฟแวร์ประมวลผลต่างๆ
ภาพลำไส้ใหญ่มุมมองเหมือนการผ่าลำไส้แล้วคลี่ออกให้แบนๆ สีฟ้าเล็กๆในภาพคือติ่งเนื้อที่ตรวจพบ ซึ่งต้องนัดผู้ป่วยมาส่องกล้องเพื่อตัดติ่งเนื้อไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง |
ค่าใช้จ่าย
โดยประมาณแต่ละแห่งในโรงพยาบาลเอกชนจะมี่ค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-12,000 บาท
การตรวจนี้จะทำทุกๆ 5 ปี ดังนั้นภาระค่าใช้จ่ายก็จะเฉลี่ย 2000-2400 บาทต่อปี
หากแต่ละคนที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะดูแลตัวเองเช่นนี้ได้ ก็นับว่าคุณโชคดีจริงๆ เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากไม่ทราบหรือไม่มีโอกาสนี้
คุณเองก็มีโอกาสบอกเล่าความจริงนี้ให้กับคนที่คุณปรารถนาดีต่อๆไป
แล้วพบกับบทความน่าสนใจอื่นๆต่อๆไป โปรดติดตามนะครับ
อ้อ! อย่าลืมกด Like ให้ด้วยนะครับ
กลับยังหน้า สารบัญบทความ
การตรวจนี้จะทำทุกๆ 5 ปี ดังนั้นภาระค่าใช้จ่ายก็จะเฉลี่ย 2000-2400 บาทต่อปี
หากแต่ละคนที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะดูแลตัวเองเช่นนี้ได้ ก็นับว่าคุณโชคดีจริงๆ เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากไม่ทราบหรือไม่มีโอกาสนี้
คุณเองก็มีโอกาสบอกเล่าความจริงนี้ให้กับคนที่คุณปรารถนาดีต่อๆไป
แล้วพบกับบทความน่าสนใจอื่นๆต่อๆไป โปรดติดตามนะครับ
อ้อ! อย่าลืมกด Like ให้ด้วยนะครับ
กลับยังหน้า สารบัญบทความ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น