ซิสต์ในไต (Kidney cyst)

ซิสต์ (Cyst) หรือ ถุงน้ำ ในไตมีลักษณะถุงบางๆคล้ายลูกโป่งบรรจุของเหลวสีเหลืองใสเกิดอยู่ภายในไต

สาเหตุ:
ไม่ทราบสาเหตุ
อาการ: 
ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เพราะส่วนใหญ่มีขนาดเล็กถูกตรวจพบเจอโดยบังเอิญจากการตรวจทางภาพถ่ายร่างกายด้วยอัลตร้าซาวดน์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเอ็มอาร์ไอ

ส่วนน้อยที่จะปวดหลัง
หรือบางคนซิสต์ไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียง เช่น ทำให้ท่อไตอุดตัน
การรักษา: 
หากไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องรักษา
กรณีมีอาการปวดหลัง หรือซิสต์กดเบียดอวัยวะข้างเคียงและมีผลกระทบต่อการทำงานผิดปกติ จำเป็นต้องรักษา โดยทั่วไปกว่าจะมีอาการเหล่านี้ ซิสต์มักจะต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร (สักประมาณ 8 ซม ขึ้นไป)
วิธีรักษาปัจจุบัน
การทำลายซิสต์ด้วยแอลกอฮอล์ 95%
 1. หาตำแหน่งที่จะสอดท่อระบายผ่านผิวหนังเข้าไปถึงซิสต์
ภาพอัลตร้าซาวนด์แสดงซิสต์สองอัน(วงรีสีดำ)อยู่ในไตข้างขวา
2. สอดท่อระบาย
ภาพท่อระบายที่ออกแบบให้มีแกนในเป็นเข็มปลายแหลมสามารถสอดผ่านผิวหนังเข้าไปถึงซิสต์ในไตได้

สอดท่อระบายเข้าไปในซิสต์อย่างแม่นยำด้วยการนำร่องจากอัลตร้าซาวนด์
 3. ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสามารถฉีดแอลกอฮอล์ได้
ฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในซิสต์และสังเกตผ่านเครื่องวิดีโอเอกซเรย์ กรณีนี้สารทีบรังสีไม่ไหลไปติดต่อกับท่อไตบ่งชี้ว่าสามารถใส่แอลกอฮอล์รักษาได้
 4. ฉีดแอลกอฮอล์ผ่านท่อระบายเข้าไปในซิสต์ รอสักครู่แล้วระบายแอลกอฮอล์ออก
คาท่อระบายไว้ 1 วัน
 หลังการรักษาซิสต์จะยุบเล็กลง

ภาพอัลตร้าซาวดน์แสดงไตขวาไม่มีซิสต์อีกต่อไป

ผลสำเร็จมากกว่า 90%
หนึ่งปีกว่าผู้ป่วยมาตรวจติดตามขนาดซิสต์อีกครั้ง
ภาพอัลตร้าซาวนด์หนึ่งปีกว่าๆผ่านไป ไตขวารูปร่างปกติ ไม่เห็นซิสต์อีกเลย


กลับ หน้า สารบัญบทความ


Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage
 

ฝีในตับ: ระบายหนองโดยเครื่องนำวิถึ

ฝีในตับเป็นการติดเชื้อและมีโพรงหนองอยู่ในตับ มีอัตราตายได้ถึง 19% ในประเทศกำลังพัฒนา
ภาพฝีในตับ(สีแดง)

ในอดีตจำเป็นต้องผ่าตัดแผลใหญ่เพื่อระบายหนอง ซึ่งทำให้เจ็บปวดหลังผ่าตัดมากและผู้ป่วยฟื้นตัวช้า
แผลผ่าตัดขนาดใหญ่เพื่อระบายหนองจากตับ

ปัจจุบันการระบายหนองทำได้โดยการสอดท่อระบายผ่านผนังหน้าท้องเข้าไปในฝีได้โดยตรง เนื่องจาก

1.การออกแบบอุปกรณ์สอดท่อระบายหนองดีขึ้น

ตัวอย่างท่อระบายหนองที่ออกแบบกระทัดรัดแต่ประสิทธิภาพสูง มีแกนเข็มอยู่ด้านในสามารถสอดเข้าไปในฝีได้ภายในครั้งเดียว

2. พัฒนาการทางเครื่องมือนำร่องที่ดีขึ้น

ใช้เครื่องอัลตร้าซาวดน์นำร่องเพื่อสอดสายระบายเข้าไปในฝีอย่างแม่นยำ


แผลเล็ก ปวดน้อยลง ไม่ต้องใช้ยาสลบ

3. ยาทำลายเชื้อโรคที่พัฒนาดีขึ้้น

ด้วยสาเหตุดังกล่าว ช่วยให้ 
ผู้ป่วยทนต่อการรักษาได้ดีขึ้น เจ็บน้อยกว่าผ่าตัด หายเร็วขึ้น ระยะเวลานอนรักษาตัวน้อยลง กลับไปทำงานได้เร็วขึ้น

คุณสามารถถามเพิ่มเติมได้ทั้งทาง comment ด้านล่างและเฟสบุ๊คเพจ 

กลับ หน้า สารบัญบทความ


Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage

ระวัง!...ก้อนที่คอ

อาการคลำพบก้อนบริเวณคอ เป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องระวังในผู้ใหญ่ มีภาวะที่เป็นไปได้ในสามกลุ่มใหญ่คือ
  • ภาวะผิดปกติแต่กำเนิด
  • การอักเสบ
  • เนื้องอก (ทั้งเนื้อร้ายและที่ไม่ไช่เนื้อร้าย)
เพราะสิ่งที่น่าตกใจคือการเป็นเนื้อร้ายซึ่งอาจเกิดโดยตรงบริเวณคอหรือกระจายจากอวัยวะอื่นมายังต่อมน้ำเหลืองที่คอก็ได้
ทุกท่านจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ถ้าคลำพบก้อนหรือรู้สึกว่าเปรียบเทียบซ้ายขวาไม่เท่ากัน อย่าพยายามซื้อยารับประทานเอง
ให้รีบมาพบแพทย์

ก้อนนูนบริเวณด้านหน้าค่อนมาทางซ้ายของคอ


แนวทางการวินิจฉัยก้อนบริเวณคอ
มีดังต่อไปนี้
  • หลังจากแพทย์ซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว หากแพทย์สงสัยเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบจะลองให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียมารับประทานดูก่อน ครบสามสัปดาห์ หากอาการดีขึ้นก็ไม่ต้องตรวจเพิ่มเติมก้อนยุบลงก็ดีไป แต่หากอาการไม่ดีขึ้นจะต้องมาตรวจหาสาเหตุต่อไป
  • โดยทั่วไปถ้าก้อนไม่ยุบลงภายในสามสัปดาห์แพทย์ต้องตรวจต่อด้วยภาพ เช่น คลื่่นเสียงความถี่สูง (Ultrasonography), เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed tomography), เครื่องตรวจทางภาพด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) หากตรวจและวินิจฉัยด้วยภาพได้ก็เตรียมการรักษาต่อเลย แต่ถ้าตรวจทางภาพแล้วยังวินิจฉัยไม่ได้ก็จำเป็นต้องเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากก้อนไปส่งตรวจ
  • กรณีที่เจาะเก็บเนื้อเยื่อไปตรวจให้ผลวินิจฉัยโรคได้แล้วก็รักษา แต่หากยังไม่แน่ชัดจำเป็นต้องผ่าตัดเอาก้อนออกมาทั้งก้อนหรือบางส่วนตรวจทางพยาธิวิทยา
การเจาะเก็บเซลล์หรือเนื้อเยื่อจากก้อนไปตรวจพิสูจน์ 

การเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากก้อนที่คอส่งตรวจ
การเก็บเนื้อเยื่อจะต้องใช้เข็มใหญ่กว่าเข็มฉีดยา ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 0.9-2.1 มิลลิเมตร และเป็นเข็มที่มีกลไกพิเศษในการเฉือนเนื้อเยื่อของก้อนให้ติดกับปลายเข็มออกมาภายนอกร่างกายได้ตัวอย่างภาพขั้นตอนการเจาะเก็บเนื้อเยื่อก้อนจากคอ
ผู้ป่วยรายนี้มีต่อมไธรอยด์กลีบขวาโต แพทย์ต้องการทราบภาวะผิดปกติในต่อมไธรอยด์ จึงส่งมาปรีกษาให้หมอเจาะชิ้นเนื้อ หลังจากหมอตรวจอัลตร้าซาวดน์แล้วพบว่าต่อมไธรอยด์โตทั่วๆเนื้อหยาบ
การเจาะเนื้อนี้เนื่องจากเป็นอวัยวะที่อยู่ตื้น จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆสามารถทำได้ทันที
ขั้นตอนแรก ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
ต่อมาจะคลุมด้วยผ้าช่องปราศจากเชื้อและคลุมหัวตรวจอัลตร้าซาวนด์ด้วยถุงพลาสติกปลอดเชื้อ
ต่อมาแพทย์จะฉีดยาชาผ่านการนำทางด้วยภาพอัลตร้าซาวนด์
ฉีดยาชา


ทำรอยบากที่จุดฉีดยาชาด้วยใบมีดเป็นรอยกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร
สอดเข็มสำหรับตัดเก็บเนื้อเยื่อเข้าไปในต่อมไธรอยด์ผ่านการนำทางด้วยภาพบนจออัลตร้าซาวนด์
สอดเข็มตัดเนื่อเยื่อเข้าไปในต่อมไธรอยด์ สังเกตที่จอมอนิเตอร์ของเครื่องอัลตราซาวดน์เห็นเข็ม (เส้นตรงสีขาว) พุ่งเข้าไปต่อมไธรอยด์

นำเนื้อเยื่อออกจากเข็ม
เขี่ยเนื้อเยื่อออกจากเข็มใส่ลงในขวด

ใส่เนื้อเยื่อลงในขวดที่มีน้ำยาฟอร์มาลีนรักษาเนื้อเยื่อพร้อมส่งไปย้อมสีและตรวจด้วยกล้องขยายกำลังสูงต่อไป
เก็บรักษาเนื้อเยื่อไว้ในน้ำยาฟอร์มาลีนพร้อมส่งตรวจ

หลังการเจาะจะมีรอยบาดแผลเล็กขนาดแค่ 3-5 มิลลิเมตร ดังรูป
รูแผลจากการเจาะเก็บเนื่อเยื่อขนาดเล็ก 3-5 มิลลิเมตร

และปิดพลาสเตอร์ปิดแผลกันน้ำ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลยและอาบน้ำได้ หลังจากนั้นอีก 1 วันแผลจะสมานกันและไม่จำเป็นต้องปิดพลาสเตอร์อีก
ปิดพลาสเตอร์กันน้ำเพื่อผู้ป่วยจะอาบน้ำได้เลย

ภาพของเซลล์เนื้อเยื่อแสดงต่อมไธรอยด์อักเสบ

เป็นกระบวนการวินิจฉัยเนื้อเยื่อที่ปลอดภัย แผลเล็ก เจ็บน้อยมากจริงๆ ดังนั้นช่วยบอกต่อๆคนที่รู้จักเพื่อที่พวกเขาจะไม่ต้องกลัวการวินิจฉัยด้วยการเจาะเก็บเนื้อเยื่อและหนีไปรักษาด้วยหนทางที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัด

การดูดเก็บเซลล์จากก้อนไปตรวจ
การใช้เข็มดูดเซลล์เนื่อเยื่อไปตรวจ ใช้เข็มขนาดเล็ก เส้นผ่านศุนย์กลางระหว่าง 0.56-0.9 มิลลิเมตรต่อกับกระบอกฉีดยา ดูดเอาเซลล์เนื้อเยื่อจากก้อนมาส่งตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งมีแผลเล็กมากอีก โดยจะเป็นเป็นเพียงจุดหรือไม่สามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้เลย

การจะตัดสินใจว่าจะใช้การดูดเซลล์เนื้อเยื่อไปตรวจหรือจะใช้การตัดเนื้อเยื่อขึ้นอยู่กับดุลย์พินิจของแพทย์ผู้ทำการเจาะเองครับ

จะเห็นว่าปัจจุบันมีเครื่องมือทันสมัยที่จะวินิจฉัยก้อนที่คอให้ทราบผลรวดเร็วและเจ็บตัวน้อย คุณจึงควรปฏิบัติตามแนวทางนี้ซึ่งจะช่วยลัดขั้นตอนการพิสูจน์โรคในตัวคุณ อย่าให้เสียโอกาสที่จะรักษาแต่เนิ่นๆนะครับ

กลับ หน้า สารบัญบทความ

Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage

ไตวาย: การเตรียมตัวก่อนการใช้เครื่องไตเทียม

ภาวะไตวายเรื้อรัง คือ อะไร?
คือภาวะไตเสื่อมการทำงานจนไม่สามารถกรองของเสียออกจากเลือดในร่างกายได้ ทำให้ของเสียในเลือดเพิ่มจำนวนมากจนร่างกายเสียสมดุลการทำงานไป

ลำดับขั้นการรักษา?
เมื่อไตเสื่อมการทำงานมากขึ้นเรือยๆ จากการรักษาประคับประคอง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการล้างไต ซึ่งนิยมล้างไตด้วยการฟอกเลือดโดยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) ก่อนแต่หากใช้วิธีนี้ไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาการฟอกไตด้วยการล้างไตผ่านช่องท้อง (peritoneal dialysis) ระหว่างที่ล้างไตอยู่ หากมีไตบริจาคที่เข้ากันได้กับผู้ป่วย และภาวะผู้ป่วยเหมาะสมที่จะปลูกถ่ายไตได้ ก็ควรทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไต เพื่อยืดอายุผู้ป่วยและให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis)
เป็นการรักษาโดยการนำเลือดออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เครื่องกรองเลือดแยกเอาของเสีย เกลือแร่ และน้ำที่เกินออกจากเลือด เลือดที่กรองจากเครื่องไตเทียมกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย ดังนั้นจะต้องมีจุดนำเลือดออกและทางเข้า การฟอกเลือดต้องทำที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆละ 2-5 ชั่วโมงซึ่งจำกัดวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันผู้ป่วยอยู่ไม่น้อย
ภาพแสดงการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

เราสร้างทางเข้า-ออกเลือดจากหลอดเลือดดำ (venous access) ได้ทางไหนบ้าง?
  1. การต่อหลอดเลือดแดงเข้ากับหลอดเลือดดำ (arteriovenous fistula) โดยมากแพทย์จะ ผ่าตัดเชื่อมต่อหลอดเลือดแดงเข้ากับหลอดเลือดดำบริเวณท่อนแขนเหนือข้อมือ ดังรูปด้านล่าง โดยทั่วไปต้องรอให้รอยต่อนี้เชื่อมสนิทเป็นระยะเวลา 2 ถึง 4 เดือน และหลอดเลือดดำหลังรอยต่อโป่งขยายขึ้นเพื่อให้ปริมาณเลือดไหลเข้าเครื่องไตเที่ยมมากและเร็วพอที่จะฟอกของเสียหมดใน 2-4 ชั่วโมง
    การใช้งานต่อกับเครื่องไตเทียมต้องมีสายสองเส้น (แทงเข็มสองจุดแล้วต่อกับสายส่งเลือดเข้าเครื่องและสายจากเครื่องไตเที่ยมส่งเลือดกลับเข้าหลอดเลือดดำ)
  2. การเชื่อมต่อหลอดเลือดแดงเข้ากับหลอดเลือดดำด้วยท่อยางสังเคราะห์ (arteriovenous graft) รอเวลาให้แผลหาย 2 สัปดาห์ก่อนจะใช้การล้างไตได้ ใช้กรณีที่วิธีที่หนึ่งทำไม่ได้เนื่องหลอดเลือดขนาดเล็กเกินไปที่จะต่อโดยตรง
    แผนภาพการใส่หลอดเลือดเทียมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ เวลาล้างไตจะแทงเข็มสองอันสำหรับเป็นขาออก และขาเข้าของเลือด
  3. ฝังหลอดสวนใว้ในหลอดเลือดดำใหญ่ (Central venous catheter) โดยทั่วไปแพทย์จะฝังหลอดสวนที่หลอดเลือดดำใหญ่บริเวณคอ จะใช้กรณี นี้ก็ต่อเมื่อมีข้อจำกัดในการใช้วิธีที่ 1 และ 2 
    แผนภาพแสดงหลอดสวนสำหรับล้างไตที่แพทย์สอดไว้ปลายหลอดสวนอยู่ในหลอดเลือดดำใหญ่ใกล้ขั้วหัวใจ หลอดสวนนี้จะมีสองช่องสำหรับเลือดขาเข้าและขาออกจากร่างกายเพื่อต่อเข้าสูเครื่องไตเทียม ส่วนที่โค้งหักกลับจะถูกฝังอยูใต้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อป้องกันการติดเชื้อง่ายๆ
เราจะดูแลบริเวณที่ติดต่อกับเครื่องล้างไตอย่างไร?
ควรจะทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่และน้ำอุ่นทุกวันและก่อนเวลาล้างไต
สิ่งที่ไม่ควรทำได้แก่:
  • เกาหรือดึงบริเวณนี้
  • สวมเสื้อรัดหรือเครืองประดับรัดบริเวณนี้
  • นอนทับแขนบริเวณนี้
  • เจาะเลือดหรือวัดความดันโลหิตแขนข้างนี้
เราควรตรวจดูบริเวณรอยต่อหรือหลอดสวนทุกวัน ให้แน่ใจว่ามันยังปกติอยู่ โดยปกติเลือดที่ไหลผ่านบริเวณเชื่อมต่อหลอดเลือดแดงกับหลอดเลือดดำจะไหลผ่านเร็วจนรู้สีกสัมผัสแรงสั่นได้ เรียกว่า thrill(ทริล)
ควรปรึกษาแพทย์ ในกรณีนี้
  • ไม่รู้สึกถึงแรงสั่นเหนือบริเวณรอยต่อหลอดเลือด เพราะเป็นอาการเตือนของการตีบตันของหลอดเลือด
  • ผิวหนังเหนือบริเวณรอยต่อหลอดเลือดบวมแดงร้อน ซึ่งสงสัยภาวะการติดเชื้อ
  • เลือดออกมากจากรูเข็มหลังเสร็จการล้างไต
กรณีที่หลอดเลือดแดงหรือดำบริเวณใกล้รอยต่อตีบแพทย์จะรักษาด้วยการใส่หลอดสวนที่มีลูกโป่งขยายรอยตีบแคบให้กว้างขึ้น ดังรูป ด้านล่าง
รูปวาดแสดงการสอดหลอดสวนเข้าไปตรงรอยตีบ (สีเหลือง) เมื่อถึงจุดตีบแคบก็ทำให้ลูกโป่ง (สีฟ้า)ขยายตัวดันรอยตีบแคบให้กว้างขึ้น

ด้านล่างเป็นภาพเอกซเรย์หลอดเลือดแสดงก่อนและหลังรักษารอยตีบ
รอยตีบของหลอดเลือดดำ (หัวลูกศร)ก่อนการรักษาด้วยลูกโป่งขยาย


ภาพเอกซเรย์ของหลอดเลือดดำหลังจากขยายรอยตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนพุ่งแรงดีขึ้นและกลับมาใช้กับเครื่องไดเทียมได้อีก

ในบางกรณีที่ลิ่มเลือด (เลือดแข็งตัวเกาะแน่นอยู่ภายในหลอดเลือด)มีผลให้แรงดันเลือดน้อยลง แพทย์จำเป็นต้องใส่หลอดสวนและให้ยาละลายลิ่มเลือดผ่านหลอดสวนจนเริ่มเห็นรอยเปิดแล้วจึงจะขยายหลอดเลือดด้วยลูกโป่งอีกทีหนึ่ง

สำหรับหลอดสวนในหลอดเลือดดำใหญ่ (Cenral venous catheter) ที่อุดตันจากลิ่มเลือดจะรักษาด้วยการเปลี่ยนหลอดสวนเส้นใหม่โดยพยายามใส่ในเส้นทางเดิมก่อน

เหล่านี้คือความรู้เบื้องต้น ของการฟอกเลือดกรณีไตวายเรื้อรัง
หากมีคำถามใดๆ คุณสามารถสอบถามในช่องคอมเมนต์ด้านล่างได้

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสอ่านบทความใหม่ๆของ หมอ ขอแนะนำให้คุณกด like หรือแนะนำ ใน facebook page ของหมอนะครับ

กลับ หน้า สารบัญบทความ

Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage


มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นอันดับสองแล้ว จะรับมืออย่างไร?

มะเร็งก่อตัวในลำไส้ใหญ่ฝั้งซ้าย

มะเร็งลำไส้ใหญ่สำคัญไหม?
 พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆในคนทั่วโลก เป็นมะเร็งอันดับสองในชายไทยและอันดับสามในหญิงไทย หากรอจนพบอาการก้อนมะเร็งมักจะกระจายไปทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระเแสเลือดแล้ว (แต่ตาเปล่าไม่เห็น) และมันค่อนข้างดื้อต่อยาเคมีบำบัด

อัตราการรอดชีวิตของมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นอย่างไร?
ขอให้ดูแผนภูมิอันนี้เป็นการอ้างอิงจาก งานวิจัย

จากแผนภูมินี้สรุปได้ย่อๆว่าดังนี้
มะเร็งระยะที่หนึ่ง อัตรารอดชีวิต เมื่อผ่านไป 5 ปี เท่ากับ ร้อยละ 74.0
มะเร็งระยะที่สอง อัตรารอดชีวิต เมือผ่านไป 5 ปี เท่ากับ ร้อยละ 37.3ถึง 66.5
มะเร็งระยะที่สาม อัตรารอดชีวิต เมือผ่านไป 5 ปี เท่ากับ ร้อยละ 28.0ถึง 73.1
มะเร็งระยะที่สี่ อัตรารอดชีวิต เมือผ่านไป 5 ปี เท่ากับ ร้อยละ 5.7

แต่โชคร้าย ผู้ที่มีอาการแสดงและมาพบแพทย์มักจะอยู่ในระยะที่สามและสี่

ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ไหม?
แม้ว่าคุณจะควบคุมอาหาร ไม่กินไขมัน รับประทานกากใยมาก ระวังไม่ให้ท้องผูก รวมทั้งสารพัดอาหารต้านมะเร็ง ฝึกจิตใจไม่ให้เครียด เพื่อให้โอกาสเกิดมะเร็งลดลง แต่คุณอย่าเข้าใจผิดว่าจะไม่เป็นแน่นอน ไม่มีบทความวิจัยใดๆที่บอกว่าการป้องกันมะเร็งด้วยวิธีเหล่านี้จะป้องกันมะเร็งได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

เฝ้าระวังอาการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ไหม?
การเฝ้าระวังอาการแสดงของมะเร็งนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเลย เพราะไม่ได้ทำให้อัตรารอดชีวิตของเราดีขึ้น ถ้ารอให้มีอาการก็นับวันบอกอัตรารอดตัวเองเท่านั้นเองว่า ภายใน 5 ปีจะเสียชีวิตไปกี่คน

ทำอย่างไรจึงจะค้นหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เร็วที่สุด?
เนื่องจากกว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่พัฒนาจากเซลล์ผิดปกติมาเป็นติ่งเนื้อก่อนและจะค่อยๆโตขึ้นเป็นก้อนโตจนมีอาการใช้เวลาประมาณ 5 ปี
จนถึงปัจจุบันนี้การค้นหามะเร็งระยะแรกที่ทำได้เร็วที่สุดแล้วก็คือ ระยะที่เป็นติ่งเนื้อ (Polyp) ไม่ใช่การตรวจสารเอนไซม์ CEA (carcinoembryonic antigen) ในเลือดซึ่งจะตรวจพบได้ช้ากว่า
ภาพการพัฒนาจากเยื่อบุผนังลำไส้ใหญ่ปกติ (ซ้ายสุด) กลายเป็นการหนาตัว (ที่สองจากซ้าย) เริ่มเป็นติ่งเนื้อ (ภาพกลาง) ติ่งเนื้อใหญ่ขึ้น (ภาพที่สี่) และติ่งเนื้อเริ่มเปลี่ยนเป็นมะเร็ง(ขวาสุด)

วิธีตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะเริ่มต้นที่เป็นที่ยอมรับทางแพทย์มีอะไรบ้าง?

การคัดกรองที่ได้ผลดีที่สุดคือ การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ เพราะว่าสามารถเห็นลำไส้ใหญ่ตลอดทั้งแนวและสามารถตัดติ่งเนื้อไปพิสุจน์ว่าเป็นมะเร็งแล้วหรือยัง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้จึงต้องยอมรับการตรวจทางเลือกอื่นๆเข้ามาด้วย แล้วจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ลองพิจารณาแต่ละวิธีดังนี้

การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy)
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสอดท่อซึ่งปลายท่อติดกล้องวิดีโอทำให้เห็นเยื่อบุภายในตลอดลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถสอดเครื่องมือสำหรับตัดเนื้อเยื่อจากรอยโรคที่สงสัยไปตรวจพิสุจน์ได้อีกด้วย

  • จำเป็นต้องเตรียมลำไส้ด้วยยาระบายและรับประทานอาหารไร้กากใย 2 วัน
  • จำเป็นต้องได้รับยานอนหลับทางหลอดเลือดดำ ผู้รับการตรวจต้องหยุดพักงานหนึ่งวันและต้องมีบุคคลมาด้วยเพื่อนำผู้ป่วย กลับเพราะหลังตรวจเสร็จยานอนหลับยังไม่หมดฤทธิ์ทันที
  • มีความเสี่ยงจากการส่องกล้องได้ เช่น สำไส้ทะลุ เลือดออกจากลำไส้ ส่วนใหญ่เลือดออกจากการที่แพทย์ตัดเนื้องอกไปตรวจ
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (flexible sigmoidoscopy)
  • จำเป็นต้องเตรียมลำไส้ด้วยยาระบายและรับประทานอาหารไร้กากใย 2 วัน
  • ไม่จำเป็นต้องได้รับยานอนหลับทางหลอดเลือดดำ
  • ส่องดูลำไส้ได้เฉพาะส่วนปลายในระยะทาง 40 เซนติเมตร
  • หากส่องลำไส้ใหญ่ส่วนปลายพบเนื้องอกจำเป็นต้องตรวจต่อไปด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (sigmoidoscopy) ปลายท่อส่องเพียงความลึก 40 เซนติเมตร


การเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยสวนสารแบเรียม (Double contrast barium enema)
  • จำเป็นต้องเตรียมลำไส้ด้วยยาระบายและรับประทานอาหารไร้กากใย 2 วัน
  • ไม่จำเป็นต้องได้รับยานอนหลับทางหลอดเลือดดำ
  • ถ้าหากพบเนื้องอกจำเป็นต้องตรวจต่อไปด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด ผู้ป่วยจำเป็นต้องเตรียมลำไส้ใหม่อีกรอบหนึ่ง
  • มีความไวในการพบติ่งเนื้อตั้งแต่ขนาด 10 มิลลิเมตรขึ้นไป
  • โอกาสลำไส้ทะลุต่ำมากๆ
การเอ็กซเรย์ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนน้ำผสมผงแบเรียมซัลเฟต (Barium Enema) ปลายท่อคาอยู่ที่ไส้ตรงเท่านั้นและปล่อยให้ของเหลวสวนย้อนไปถึงลำไส้ใหญ่ส่วนต้นและกล้องเอกซเรย์จากภายนอกแสดงภาพบนจอมอนิเตอร์

การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (Computed Tomography  Colonography)
  • จำเป็นต้องใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง
  • ต้องมีซอฟแวร์สำหรับสร้างภาพลำไส้ใหญ่
  • จำเป็นต้องเตรียมลำไส้ด้วยยาระบายและรับประทานอาหารไร้กากใย 2 วัน
  • ไม่จำเป็นต้องได้รับยานอนหลับทางหลอดเลือดดำ
  • หากพบเนื้องอกจำเป็นต้องตรวจต่อไปด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด ผู้ป่วยจำเป็นต้องเตรียมลำไส้ใหม่อีกรอบหนึ่ง
  • มีความไวในการพบติ่งเนื้อขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรขึ้นไป
  • โอกาสลำไส้ทะลุต่ำมากๆ
การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT colonography) ผู้ป่วยนอนบนเตียงของเครื่องตรวจ หลังจากสวนลมเข้าทางทวารผ่านท่อยางเล็กๆแล้ว เครื่องสแกนส่วนช่องท้องในท่านอนหงายหนึ่งครั้งและท่านอนคว่ำหนึ่งครั้งผู้ป่วยก็ลงจากเครื่องได้ รังสีแพทย์จะตรวจเช็คภาพหาความผิดปกติผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์เอง

เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แสดงภาพภายในลำไส้ได้หลายมุมมอง เช่นมุมมองแบบเห็นลำไส้คลี่แบน (ภาพซ้าย) มุมมองภาพตัดขวาง (ภาพกลางขาวดำ) หรือมุมมองแบบส่องกล้อง(flythrough)

การตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธี Guaiac-based Fecal Occult Blood Test (gFOBT) ที่ระบุความไวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • เทคนิคการตรวจขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตสารทดสอบ โดยส่วนใหญ่จะต้องเก็บอุจจาระสองถึงสามรอบที่บ้านเพื่อนำมาส่งตรวจ
  • ผู้ป่วยต้องทราบว่าถ้าผลตรวจเป็นบวกหมายถึงผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงที่เกิดเนื้องอกที่ค่อนข้างจะกลายเป็นมะเร็งแล้วหรือเป็นมะเร็งโดยสมบูรณ์แล้ว
  • หากผลตรวจเป็นลบ จำเป็นต้องตรวจซ้ำทุกปี
  • ผู้ป่วยจะต้องเข้าใจว่าตรวจครั้งเดียวนั้นไร้ประสิทธิผล

การตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธี Fecal Immunochemical Test (FIT) ที่ระบุความไวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มีความไวและเฉพาะเจาะจงกว่าวิธี gFOBT 
  • ราคาแพงกว่า วิธี gFOBT
  • จำเป็นต้องตรวจทุกปี
การตรวจมีหลายวิธีจะเลือกอย่างไร?
  • ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมตาม ความสามารถในการจ่าย (เพราะไม่ฟรี), บริการที่มีอยู่ใกล้ชุมชนของคุณ, ความพร้อมทางร่างกายและจิตใจของคุณ (บางคนกลัวการสวนทวารโดยผู้อื่น) 

  • ปรึกษาแพทย์ใกล้ตัวคุณเพื่อหาวิธีที่เหมาะกับคุณ

ควรเริ่มตรวจเมื่อใด?
  • สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงมาก เริ่มที่อายุ 50 ปี
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ ได้แก่บุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคประจำตัวเป็นลำไส้อักเสบชนิด chron disease หรือ ulcerative coliitis ควรตรวจเร็วที่อายุ 40 ปี
ความถี่ในการตรวจเป็นอย่างใด? 
  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy) ทุก 10 ปี
  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (flexible sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี
  • การเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่โดยสวนสารแบเรียม (Double contrast barium enema) ทุก 5 ปี
  • การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่ (Computed Tomography  Colonography) ทุก 5 ปี
  • การตรวจหาเลือดในอุจจาระด้วยวิธี gFOBT หรือ FIT ทุก 1  ปี
เลือกตรวจอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมแต่ละคน
สรุป
มะเร็งลำไส้ใหญ่กำลังเป็นมะเร็งอันดับต้นที่คร่าชีวิตคนไทยไปด้วยเหตุที่เรารอให้มีอาการแสดงก่อนจึงมาพบแพทย์และไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นซากไปได้
หากต้องการให้อัตราการตายจากมะเร็งนี้ลดลง นอกเหนือจากแนวทางป้องกันการเกิดมะเร็งทั่วไปแล้ว เราจำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งให้พบในระยะเริ่มต้นจะรักษาได้ผลดี แต่อุปสรรคของการคัดกรองคือ เป็นการตรวจที่ค่อนข้างยุ่งยากและขาดแคลนผู้เชียวชาญเพียงพอที่จะตรวจได้ทุกคนและที่สำคัญ ผู้ที่รับการตรวจยังต้องมีความตระหนักอย่างสูง และมีความพร้อมด้านการเงิน


กลับ หน้า สารบัญบทความ


Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage

ไขมันมากในตับ

ไขมันมากในตับ (Fatty Liver)

เรื่องนี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับแนวทางรักษารูเล็กเท่าไร แต่แฟนๆขอมาจึงขอแบ่งปันให้อ่านครับ

ตับอยู่ส่วนไหนของร่างกายนะ?

ดูตามภาพเลยครับ
แผนภาพลำตัวมนุษย์แสดงตำแหน่ง รูปร่างของตับ (LIVER)

ถ้าตับเสียจะเกิดอะไรขึ้น?

ระยะสุดท้ายของตับเสียการทำงานคือ ตับแข็ง (Cirrhosis อ่านว่า เซอ-โร-สีด) อาการ เหลือง บวม แขนขาผอม ท้องมีน้ำมาก (ท้องมาน) อ่อนเพลีย ถ่ายหรืออาเจียนเป็นเลือด


ไขมันมากในตับเป็นอย่างไร?

เป็นภาวะที่เซลล์ไขมันในตับเก็บสะสมไขมันไว้มากขึ้นๆจนเซลล์ตับมีที่อยู่น้อยลง (โดนแย่งที่) เมื่อนานวันเข้ามันจะกระตุ้นให้่ตับอักเสบเรื้อรัง (ยังไม่ทราบกลไกแน่ชัด) เซลล์ตับ(แท้ๆ) ก็น้อยลงแต่เซลล์ไขมันใหญ่ขึ้น จะเห็นว่าระยะนี้ตับใหญ่ขึ้น เมื่อเซลล์ตับอักเสบจนเกือบเกลี้ยงแล้วจะถูกแทนที่ด้วยเนื้อพังผืด ซึ่งจะดีงรั้งให้ตับหดเล็กลง ก็คือตับแข็ง
http://liverbasics.com/fatty-liver-disease.jpg
แผนภาพแสดงการเปลี่ยนแปลง จากตับปกติ (Normal Liver) มาสู่ไขมันสะสมในตับ (Fatty liver) จนระยะสุดท้ายตับแข็ง (Cirrhosis)

สาเหตุของไขมันมากในตับมีอะไรบ้าง?

ส่วนใหญ่เกิดจากเราทำตัวเอง คือ รับประทานพลังงานมากเกินขนาด เช่น แป้งน้ำตาล ไขมัน สัตว์บก แอลกอฮอล์
สาเหตุส่วนน้อยไม่ทราบแน่ชัด คือโชคร้าย ที่มีภูมิคุุ้มกันต่อต้านร่างกายตัวเอง แพ้ยาบางชนิด

มีคนเป็นไขมันสะสมในตับมากไหม?

หมอตรวจอัลตร้าซาวดน์คนปกติ (ไม่มีอาการ) ที่มาตรวจสุขภาพกว่าครี่งเป็นภาพอัลตร้าซาวดน์เป็นไขมันสะสม

ภาพจากเครื่องตรวจคลื่นความถี่สูงอัลตร้าซาวดน์ (ultrasonography) ซ้าย(ปกติ) จะเห็นสีค่อนข้างดำกว่า และขอบของเส้นเลือดภายในตับ (เส้นสีดำ) คมชัด ขวา (ไขมันสะสมในตับ) เนื้อตับสีขาวกว่า และเห็นขอบของเส้นเลือดภายในตับไม่คมชัด

โอกาสที่ไขมันมากในตับจะเป็นตับแข็งมากไหม?

ข่าวดี คือ โอกาสที่จะเป็นไขมันในตับมากจนเกิดตับแข็งนั้นน้อยมาก
ข่าวร้าย คือ มันเป็นความผิดปกติในกลุ่มเดียวกับโรคพวกเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ดังนั้นโอกาสที่คุณจะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันหรือหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกจะสูงอยู่มากกว่าโอกาสเป็นตับแข็ง
ลองคิดดูครับว่า เมื่อคุณมีทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองตีบ ก็แย่แล้วแถมต่อมาตับแข็งอีกและอาจตามมาด้วยมะเร็งตับ ตอนนั้นก็ยากที่จะเยียวยารักษา
ดังนั้น จงควบคุมอาหารเพื่อระวังโรคหัวใจและหลอดเลือดและเบาหวานก็เป็นการลดไขมันในตับเช่นเดียวกัน
เรื่องการควบคุมอาหาร เป็นเรื่องที่ต้องมีความตั้งใจอย่างสูงจริงๆ จึงจะสำเร็จ
ผู้ใดชนะใจตัวเอง ต่อสู้กับความอยากรับประทานอาหารอร่อยๆได้ ก็จะช่วยชะลอความเสื่อมของตัวเองลงได้บ้าง

ว่าแต่ ในโลกนี้จะมีคนที่ชนะใจตัวเองได้สักแค่ไหนหนอ?


คุณผู้อ่านจะได้รับการแจ้งเตือนเมือหมอออกบทความใหม่ๆ หากคุณสมัครรับข่าวทางอีเมล์ด้านขวา หรือกด like ที่ link facebook ด้านขวาหรือด้านล่างนะครับ

กลับ หน้า สารบัญบทความ

Link พัฒนาตนเอง

1. แนวทางพัฒนาการคิด
2. กด like ให้drrattawach fanpage

มะเร็งตับ



เนื้อหาในบทนี้เฉพาะมะเร็งตับที่กำเนิดจากเซลล์ตับจริงๆ ไม่ใช่มะเร็งท่อน้ำดีนะครับ

ความสำคัญ

เป็นมะเร็งที่พบบ่อยอันดับต้นๆของคนไทย(อันดับสามของชายไทย อันดับเจ็ดของหญิงไทย)

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
  • ตับแข็งจากสาเหตุต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี หรือซี, เครื่องดื่มอัลกอฮอล์, ตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่พบสาเหตุ (ก็มีได้นะ)
  • ไวรัสตับอักเสบบี พบว่าการมีไวรัสตับอักเสบบีจะเกิดมะเร็งตับได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นตับแข็งก่อนก็ได้
อาการของมะเร็งตับ 
ขณะที่ก้อนมะเร็งยังเล็ก คนเรายังไม่มีอาการใดๆ น่าเสียดาย ถ้ารอให้มีอาการต่อไปนี้แสดงว่ามะเร็งตับได้เติบโตลุกลามมากเกินจะรักษาแล้วทุกครั้งไป อาการที่ว่าได้แก่ ปวด แน่นท้องบริเวณด้านขวาบน ปวดบริเวณลิ้นปี่(หากมะเร็งเกิดในตับกลีบซ้าย) เบื่ออาหาร น้ำหนักลด การย่อยอาหารผิดปกติ คลำพบก้อนในท้อง ท้องมาน(ท้องป่องโตขึ้นมาก) ตัวเหลือง ตาเหลือง (ท้องมานและแน่นท้องอาจแยกได้ยากจากภาวะตับแข็งเพียงอย่างเดียว)
ดังนั้น "อย่ารอให้มีอาการจะดีกว่าไหม?"
  1. ตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยทั่วไปเด็กที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2535 จะได้รับวัคซีนป้องกันตับอักเสบบีกันถ้วนหน้าแล้ว แต่ถ้าใครเกิดก่อนหน้านั้น ให้ไปขอตรวจเลือดหาไวรัสบีและซี ถ้าไม่พบเชื้อให้ฉีดวัคซีนป้องกันไว้ด้วย เนื่องจากมันอาจติดต่อได้ทางสายเลือดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ ทางเพศสัมพันธ์ และการได้รับเลือดที่มีเชื้ออยู่  และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เท่าที่ทราบการขอตรวจพิเศษนี้ไม่ฟรีนะ
  2. ผู้ที่ทราบแล้วว่ามีเชื้อตับอักเสบอยู่ให้ติดตามกับแพทย์ตลอดไป แพทย์จะได้นัดตรวจติดตามทุกๆ 6 เดือน (อันนี้แพทย์นัดมาตรวจอาจจะฟรี ในโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ยารักษาไวรัสตับอักเสบไม่แน่ใจว่าต้องจ่ายเท่าไร) ด้วยอัลตร้าซาวด์และตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ
    การตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อค้นหาก้อนในตับ 1-2) วิธีการตรวจ 3) ภาพอัลตร้าซาวด์แสดงก้อนในตับซึ่งยังต้องการตรวจพิสูจน์ขั้นตอนต่อไป
  3. ผู้ที่เป็นตับแข็งอยู่แล้วแพทย์จะนัดติดตามเป็นระยะๆและเฝ้าระวังมะเร็งตับให้อยู่แล้ว
  4. ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไปควรตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวดน์ช่องท้องไปด้วย (นายจ้างบ่างบริษัทเห็นความสำคัญได้จัดสวัสดิการนี้ให้พนักงาน แต่บางบริษัทหรือราชการจะไม่ได้รับ ถ้าอยากตรวจทุกปีก็ต้องเตรียมเงินส่วนตัวไว้ด้วย)
หากตรวจคัดกรองแล้ว แพทย์พบก้อนเล็กๆในตับตั้งแต่ยังขนาดเล็กเพียง 1-2 ซม. จะมีการพิสูจน์ยืนยันในขั้นตอนถัดไป โดยเริ่มจากวิธีที่ไม่บาดเจ็บก่อน เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed tomography) หรือตรวจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging) หากยังยืนยันมะเร็งตับไมได้อีก ก็ถึงคราวต้องเจาะเก็บเนื้อเยื่อจากก้อนไปตรวจแล้ว


การตรวจเอกเซเรย์คอมพิวเตอร์ของช่องท้อง อุโมงวงแหวนนี้มีหลอดเอกซเรย์หมุนรอบร่างกายผู้ป่วยขณะที่เตียงเลื่อนเข้าผ่านช่องกลางวงแหวน คอมพิวเตอร์จะประมวนภาพออกมาเป็นภาพของส่วนต่างๆในร่างกาย


ภาพที่คอมพิวเตอร์แสดงให้เห็น หัวลูกศรชี้ก้อนเล็กๆในตับ ซึ่งภายหลังพิสูจน์ว่าเป็นก้อนมะเร็ง


การเจาะเก็บเนื้อเยื้อจากก้อนเนื้องอกตับ
ปัจจุบันมีเครื่องมือนำทางหลายชนิด ทำให้แพทย์สามารถสอดเข็มเข้าไปเก็บเนื้อเยื่อของเนื้องอกในตับออกมาได้อย่างแม่นยำ แผลเท่ารูเข็ม ไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน ภาพที่แสดงด้านล่างเป็นเพียงแผนภาพอย่างง่ายให้เข้าใจ
การเจาะเก็บเนื้อเยื้อจะใช้เพียงฉีดยาชาเฉพาะที่เท่านั้น ไม่ต้องสลบหรือนอนหลับ จึงลดความเสี่ยงต่อยาต่างๆได้ ส่วนใหญ่คนไข้ก่อนทำจะกังวลว่าจะเจ็บมาก ขอให้วางยาสลบ แต่พอได้ทำจริงๆ เจ็บเฉพาะตอนฉีดยาชา ก็เข้าใจหมอ โดยทั่วไปแพทย์จะเช็คเลือดว่า มีการแข็งตัวของเลือดช้ากว่าปกติหรือไม่ ถ้ามีก็จะแก้ไขให้ปกติก่อนทำการเจาะ เพื่อลดความเสี่ยงของการเสียเลือดมากในช่องท้อง
ภาพจากจอเครื่องอัลตราซาวนด์ทำให้แพทย์เห็นตำแหน่งปลายเข็มเจาะได้ชัดเจนลดความผิดพลาดลงได้ เจาะได้ตรงตำแหน่งที่ต้องการ หลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากการแทงถูกหลอดเลือดใหญ่ๆ ภาพขีดเส้นตรงสีขาวคือเข็มที่เจาะ ปลายเข็มอยู่ในก้อนหยักๆสีเทา

การเจาะสมัยนี้สะดวกมาก ผู้ป่วยมีแผลเพียงรูเข็มซึ่งจะสมานปิดได้เองภายใน 24 ชั่วโมง นอนในโรงพยาบาลเพียงคืนเดียว ก็กลับบ้านได้
โดยทั่วไปจะทราบผลวินิจฉัยชิ้นเนื้อประมาณ 7 วันหลังการเจาะตรวจ ระหว่างรอนี้ผู้ป่วยคงกระวนกระวายใจน่าดู

การรักษามะเร็งตับ

พิจารณาจากขนาดของก้อน จำนวนของก้อนและสภาวะผู้ป่วยที่จะรับการรักษาชนิดนั้นได้หรือไม่
การผ่าตัดตับกลีบที่มีเนื้องอกออก ก้อนต้องยังเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 เซนติเมตร เป็นก้อนเดียวและผู้ป่วยต้องมีสภาวะที่รับการผ่าตัดใหญ่ได้


แผนภาพการตัดตับกลีบขวาซึ่งมีมะเร็งตับอยู่แต่ในภาพนี้ก้อนดูจะใหญ่เกินไปที่จะผ่าแบบนี้ได้

การผ่าตัดเปลี่ยนตับ ก้อนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่ไม่เกิน 3 เซนติเมตรและจำนวนไม่เกิน 3 ก้อนและผู้ป่วยต้องรับสภาวะการผ่าตัดใหญ่ได้ ที่สำคัญมีผู้บริจาคตับที่เนื้อเยื่อสามารถเข้ากับผู้ป่วยได้


แผนภาพการนำตับจากผู้บริจาคมาต่อให้กับผู้ป่วยหลังจากผ่าตัดเเอาตับที่มีมะเร็งออกไปแล้ว ตับกลีบซ้ายของผู้บริจาคยังเหลืออยู่และมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ

การใช้เข็มความร้อนหรือความเย็น ก้อนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นแต่ไม่เกิน 3 เซนติเมตรและจำนวนไม่เกิน 3 ก้อนแต่ผู้ป่วยไม่น่าจะทนการผ่าตัดใหญ่ได้ หรือผ่าตัดได้แต่กำลังรอตับจากผู้บริจาคอยู่


แผนภาพแสดงการสอดเข็มความร้อนผ่านทางผิวหนังเข้าไปในเนื้องอก โดยมีเครื่องมือภาพนำร่อง (IMAGING GUIDANCE) เมื่อเข็มเข้าไปตรงตำแหน่งก็จะต่อเข็มเข้ากับเครื่องกำเนิดความร้อนเพื่อเปล่งความร้อนออกจากบริเวณรอบๆปลายเข็มเพื่อเผาให้เนื้อมะเร็งตับตายการรักษานี้ต้อง มีการให้ยานอนหลับและยาแก้ปวด

การให้ยาเคมีและอุดหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงเนื้องอก ก้อนเดี่ยวมีขนาดใหญ่กว่า 3 เซนติเมตร หรือขนาดใดก็ได้จำนวนมากกว่า 3 ก้อน เนื้องอกยังไม่กระจายออกนอกตับหรือหลอดเลือดดำใหญ่ของตับ
แผนภาพแสดงการสอดท่อจากหลอดเลือดแดงขาหนีบข้างขวา บังคับให้สายสวนเข้าไปยังหลอดเลือดแดงของตับแขนงที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง แล้วปล่อยยาเคมีบำบัดตามด้วยวัสดุอุดกั้นหลอดเลือดเพื่อให้ตัวเคมีทำลายมะเร็ง วิธีใช้เพียงการฉีดยาชาบริเวณขาหนีบ และอยู่ในห้องเอกซเรย์สำหรับหลอดเลือดโดยเฉพาะ

การให้ยาเคมีบำบัดบรรเทาอาการ กรณีรักษาแบบข้างต้นไม่ได้แล้วเนื่องจากก้อนกระจายออกนอกตับแล้ว ถ้าผู้ป่วยยังไม่แย่ขนาดนอนอย่างเดียว อาจพิจารณายาเคมีบำบัดชนิดรับประทาน (ราคาแพงมาก)

การรักษาประคับประคองอาการ กรณีที่ไม่สามารถให้การรักษาข้างต้นได้แล้วเนื่องจากผู้ปวยสภาวะแย่มาก จำเป็นต้องให้การรักษาเพียงเพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่เพื่อให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ

โดยสรุป มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่อันตราย แม้มีการป้องกันปัจจัยเสี่ยงได้บางส่วน แต่อย่างไรก็ตามการคัดกรองหามะเร็งนี้จำเป็นต้องลงทุนเองสำหรับบางคน และบางคนอาจจะโชคดีที่ได้ตรวจฟรี เพราะหากรอให้มะเร็งแสดงอาการก็คือระยะเป็นมากไม่สามารถให้การรักษาที่ได้ผลอยู่รอดได้นานนัก การรักษามะเร็งระยะเริ่มต้นที่ดีทีสุดน่าจะเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนตับ แต่สำหรับเมืองไทยการหาผู้บริจาคอวัยวะยากแสนสาหัส นอกจากนี้แต่ละการรักษาก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากทีเดียว คุณผู้อ่านก็จงเตรียมพร้อมด้านการเงินด้วย เพราะจะหวังพึ่งพาสวัสดิการสังคมเห็นจะเป็นไปได้ยากขึ้นทุกวัน

เป็นยังไงบ้างบทความนี้ หากคุณอยากติดตามบทความ การรักษาแบบรูเล็ก เจ็บน้อยอีก ให้ไปกดปุ่ม facebook like นะครับ


    กลับ หน้า สารบัญบทความ


    Link พัฒนาตนเอง

    1. แนวทางพัฒนาการคิด
    2. กด like ให้drrattawach fanpage